การรักษาโรคท่อน้ำตาอุดตัน

โรคท่อน้ำตาอุดตัน (Nasolacrimal Duct Obstruction, NLDO) คือ ภาวะที่ท่อน้ำตาซึ่งทำหน้าที่ระบายของเหลวจากดวงตาลงสู่โพรงจมูกเกิดการอุดตัน ส่งผลให้มีน้ำตาคลออยู่ในดวงตาหรือไหลออกนอกตลอดเวลา อาจเกิดขึ้นได้ทั้งในทารกแรกเกิดและผู้ใหญ่ โดยสาเหตุและแนวทางการรักษาจะต่างกัน

สาเหตุของท่อน้ำตาอุดตัน

1. ท่อน้ำตาอุดตันในทารกแรกเกิด (Congenital NLDO)

• เกิดจากความล้มเหลวของการเปิดของเยื่อ Hasner membrane ซึ่งเป็นเยื่อปิดกั้นปลายล่างของท่อน้ำตา ทำให้ท่อน้ำตายังไม่เปิดเต็มที่ตั้งแต่แรกเกิด

• พบได้ในทารกประมาณ 5-10% แต่ส่วนใหญ่หายได้เองภายใน 1 ปีแรก

2. ท่อน้ำตาอุดตันในผู้ใหญ่ (Acquired NLDO)

• เกิดจากการอักเสบเรื้อรัง เช่น การติดเชื้อไซนัส โรคภูมิแพ้ หรือโรคตาแดง

• เกิดจากภาวะเสื่อมของเนื้อเยื่อในผู้สูงอายุ ทำให้ท่อน้ำตาตีบลง

• เกิดจากการบาดเจ็บ เช่น กระดูกจมูกหัก หรือการผ่าตัดบริเวณจมูกและใบหน้า

• มีเนื้องอกหรือก้อนเนื้อในโพรงจมูกหรือลำคอที่กดทับท่อน้ำตา

• ผลข้างเคียงจากโรคทางระบบ เช่น โรคซาร์คอยโดซิส (Sarcoidosis) หรือโรคแพ้ภูมิตัวเอง (Autoimmune diseases)

อาการของท่อน้ำตาอุดตัน

• น้ำตาไหลตลอดเวลา (Epiphora) โดยไม่มีสิ่งกระตุ้น เช่น ลม หรือฝุ่น

• มีขี้ตาหรือเมือกออกมาเป็นประจำ

• ตาแดงและระคายเคือง

• การติดเชื้อซ้ำๆ เช่น ถุงน้ำตาอักเสบ (Dacryocystitis) ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการบวม แดง และมีหนองบริเวณหัวตา

การวินิจฉัย

• ทดสอบการระบายของน้ำตา (Fluorescein Dye Disappearance Test, FDDT)

• ฉีดน้ำเข้าไปล้างท่อน้ำตา (Irrigation and Probing)

• การส่องกล้องตรวจภายในโพรงจมูก (Endoscopic Examination)

• การถ่ายภาพเอกซเรย์ท่อน้ำตาด้วยสารทึบรังสี (Dacryocystography, DCG) หรือ CT Scan

การรักษาท่อน้ำตาอุดตัน

1. ในทารกแรกเกิด

• นวดถุงน้ำตา (Crigler’s Massage) เพื่อช่วยเปิดท่อน้ำตา

• ถ้ายังไม่ดีขึ้นภายใน 6-12 เดือน อาจต้องใช้สายสวน (Probing) เพื่อเปิดท่อน้ำตา

• ในกรณีที่การรักษาด้วย Probing ไม่ได้ผล อาจต้องใส่ท่อซิลิโคน (Silicone Intubation)

2. ในผู้ใหญ่

• ล้างท่อน้ำตา (Lacrimal Irrigation) หากเป็นแค่การตีบตันเล็กน้อย

• การใส่ขดลวดขยาย (Balloon Dacryoplasty) ในบางกรณี

• การผ่าตัดสร้างทางระบายใหม่ (Dacryocystorhinostomy, DCR) ซึ่งเป็นการเชื่อมต่อถุงน้ำตากับโพรงจมูก

• กรณีที่ไม่สามารถทำ DCR ได้ อาจพิจารณาการใส่ท่อน้ำตาเทียม (Jones Tube)

แนวทางการป้องกัน

• หลีกเลี่ยงการสัมผัสดวงตาด้วยมือที่ไม่สะอาด

• รักษาสุขภาพโพรงจมูก เช่น ป้องกันการอักเสบจากไซนัสอักเสบ

• ตรวจสุขภาพตาเป็นประจำโดยเฉพาะผู้ที่มีอาการน้ำตาไหลเรื้อรัง

การผ่าตัดรักษาโรค ท่อน้ำตาอุดตัน (Nasolacrimal Duct Obstruction, NLDO) มีหลายวิธีขึ้นอยู่กับระดับของการอุดตันและปัจจัยอื่น ๆ ของผู้ป่วย โดยสามารถแบ่งออกเป็น 3 แนวทางหลัก ดังนี้

1. การขยายท่อน้ำตาและใส่ท่อซิลิโคน (Minimally Invasive Procedures)

1.1 การล้างและขยายท่อน้ำตา (Lacrimal Irrigation & Probing)

• เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีการอุดตันไม่สมบูรณ์ หรือในทารกที่ท่อน้ำตายังไม่เปิดเต็มที่

• ใช้เข็มฉีดยาฉีดน้ำเกลือเข้าไปในท่อน้ำตา หรือใช้แท่ง Probing เพื่อลองเปิดทางเดินน้ำตา

• มีโอกาสสำเร็จสูงในเด็ก แต่ในผู้ใหญ่มักเป็นเพียงการบรรเทาอาการชั่วคราว

1.2 การขยายท่อน้ำตาด้วยบอลลูน (Balloon Dacryoplasty)

• ใช้สายสวนที่มีบอลลูนขยายตัวเข้าไปเปิดท่อน้ำตา

• เหมาะกับการอุดตันบางส่วน โดยเฉพาะในเด็กหรือในผู้ป่วยที่ไม่ต้องการผ่าตัดใหญ่

• ผลสำเร็จในผู้ใหญ่ยังค่อนข้างต่ำ

1.3 การใส่ท่อซิลิโคน (Silicone Intubation)

• ใส่ท่อเล็ก ๆ ผ่านท่อน้ำตาเพื่อช่วยเปิดทางระบายน้ำตา

• ใช้ในกรณีที่การล้างท่อน้ำตาหรือ Probing ไม่ได้ผล

• มักต้องถอดออกภายใน 3-6 เดือน

2. การผ่าตัดสร้างทางระบายน้ำตาใหม่ (Dacryocystorhinostomy, DCR)

การผ่าตัด DCR เป็นมาตรฐานทองคำในการรักษาท่อน้ำตาอุดตันแบบถาวร โดยการสร้างทางระบายใหม่จากถุงน้ำตาไปยังโพรงจมูกโดยตรง (ข้ามท่อน้ำตาที่อุดตันไปเลย)

2.1 การผ่าตัดแบบเปิด (External DCR)

• เป็นวิธีมาตรฐานที่มีมานาน

• ศัลยแพทย์จะกรีดผิวหนังบริเวณหัวตา (ยาวประมาณ 10-15 มม.) และตัดกระดูกเพื่อสร้างช่องทางใหม่

• อัตราความสำเร็จสูงมาก (มากกว่า 90-95%)

• ข้อเสีย: มีแผลเป็นที่หัวตา

2.2 การผ่าตัดแบบส่องกล้อง (Endoscopic DCR)

• ใช้กล้อง Endoscope ผ่านรูจมูกโดยไม่ต้องกรีดผิวหนัง

• ทำให้ไม่มีแผลเป็นที่หัวตา

• ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่ไม่ต้องการให้มีแผลที่ใบหน้า

• อัตราความสำเร็จใกล้เคียงกับ External DCR (90-95%)

• จำเป็นต้องมีศัลยแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านส่องกล้อง และอาจต้องใช้เลเซอร์ช่วยผ่าตัด

2.3 การผ่าตัด DCR ด้วยเลเซอร์ (Laser DCR)

• ใช้เลเซอร์ช่วยเปิดช่องทางน้ำตาแทนการเจาะกระดูก

• มีข้อดีคือใช้เวลาน้อยและไม่เสียเลือดมาก

• แต่มีอัตราความสำเร็จน้อยกว่า DCR แบบมาตรฐาน และมีโอกาสกลับมาอุดตันสูง

3. การใส่ท่อน้ำตาเทียม (Conjunctivodacryocystorhinostomy, CDCR)

• ใช้ในกรณีที่ท่อน้ำตาอุดตันอย่างรุนแรง หรือเกิดขึ้นจากเนื้องอกหรือแผลเป็นที่รุนแรง

• ทำโดยการฝังท่อ Pyrex (Jones Tube) ลงไปเพื่อให้ของเหลวระบายออกจากตาสู่จมูก

• อัตราความสำเร็จสูง แต่ต้องดูแลและระวังการติดเชื้อ

สรุป: เลือกวิธีไหนดีที่สุด?

วิธี ข้อดี ข้อเสีย อัตราความสำเร็จ

Probing & Irrigation ง่าย, ไม่ต้องผ่าตัด อาจได้ผลแค่ชั่วคราว 50-80% (เด็ก) 20-40% (ผู้ใหญ่)

Balloon Dacryoplasty น้อยบาดแผล, ใช้ในเด็กได้ อัตราสำเร็จต่ำในผู้ใหญ่ 50-70%

Silicone Intubation ใช้ร่วมกับ DCR ได้ ต้องถอดออกภายหลัง 70-80%

External DCR อัตราสำเร็จสูง, ทั่วไปที่สุด มีแผลเป็นที่หัวตา 90-95%

Endoscopic DCR ไม่มีแผลเป็น, ฟื้นตัวเร็ว ต้องมีแพทย์เชี่ยวชาญ 90-95%

Laser DCR รวดเร็ว, ไม่เสียเลือด อุดตันซ้ำง่าย 70-80%

CDCR (Jones Tube) ใช้ได้แม้ท่อน้ำตาตันรุนแรง ต้องดูแลท่ออย่างดี 80-90%

article image
article image
article image

VDO อธิบาย การผ่าตัด ท่อนำ้ตา ด้วยวิธีส่องกล้อง

https://youtu.be/7lTQLGlH2FI?si=jxyZ0olPZ7i_gBQP

ติดต่อเรา